top of page

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์

1. ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์หรืออารยธรรมอียิปต์โบราณก่อกำเนิดบริเวณดินแดนสองฝั่ง แม่น้ำไนล์ ตั้งแต่ปากแม่น้ำไนล์จนไปถึงตอนเหนือของประเทศซูดานในปัจจุบัน

ทิศเหนือ ติดกับ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและคาบสมุทรไซนาย

ทิศตะวันตก ติดกับ ทะเลทรายลิเบียและทะเลทรายซาฮารา

ทิศตะวันออกและทิศใต้ ติดกับทะเลทรายนูเบียและทะเลแดง

      จากสภาพภูมิอากาศดังกล่าวจะเห็นว่า บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์เปรียบเสมือนโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย จึงเป็นปราการธรรมชาติป้องกันการรุกรานจากภายนอกได้

             สภาพภูมิประเทศของลุ่มแม่น้ำไนล์ก่อนที่จะรวมเป็นปึกแผ่น ได้แบ่งออกเป็นบริเวณลุ่มน้ำออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่เป็นบริเวณอียิปต์ล่าง (Lower Egypt) อยู่บริเวณที่ราบลุ่มปากแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นบริเวณที่แม่น้ำไนล์แยกเป็นแม่น้ำสาขาที่มีลักษณะเป็นรูปพัด แล้วไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ชาวกรีกโบราณเรียก บริเวณนี้ว่า เดลตา และบริเวณอียิปต์บน (Upper Egypt) ได้แก่ บริเวณที่แม่น้ำไนล์ไหลผ่าน หุบเขา เป็นที่ราบแคบๆ ขนาบด้วยหน้าผาที่ลาดกว้างใหญ่ ถัดจากหน้าผา คือ ทะเลทราย ต่อมาเมเนส (Menes) ประมุขแห่งอียิปต์ล่างจึงได้รวมดินแดนทั้งสองเข้าด้วยกัน

2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดอารยธรรมลุ่มน้ำไนล์

2.1 ที่ตั้ง

2.1.1 เนื่องจากหิมะละลายในเขตที่ราบสูงเอธิโอเปีย ทำให้บริเวณแม่น้ำไนล์มีดินตะกอนมาทับถมจึงเป็นพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์

2.1.2 มีความได้เปรียบทางธรรมชาติ เนื่องจากประเทศอียิปต์เป็นดินแดนที่ล้อมรอบด้วยทะเลทรายทำให้มีปราการธรรมชาติในการป้องกันศัตรูภายนอก

2.2 ทรัพยากรธรรมชาติ

แม้อียิปต์จะแห้งแล้ง แต่สองฝั่งแม่น้ำไนล์ก็ประกอบด้วยหินแกรนิตและหินทราย ซึ่งใช้ก่อสร้างและพัฒนาความเจริญรุ่งเรืองด้านสถาปัตยกรรม วัสดุเหล่านี้มีความแข็งแรงคงทนแข็งแรงและช่วยรักษามรดกทางด้านอารยธรรมของอียิปต์ให้ปรากฏแก่ชาวโลกมาจนกระทั่งปัจจุบัน

2.3 ระบบการปกครอง

ชาวอียิปต์ยอมรับอำนาจและเคารพนับถือกษัตริย์ฟาโรห์ดุจเทพเจ้าองค์หนึ่ง จึงมีอำนาจในการปกครองและบริหารอย่างเต็มที่ทั้งด้านการเมืองและศาสนา โดยมีขุนนางเป็นผู้ช่วยในการปกครอง และพระเป็นผู้ช่วยด้านศาสนา ซึ่งการที่พาโรห์มีอำนาจเด็ดขาดทำให้อียิปต์สามารถพัฒนาอารยธรรมของตนได้อย่างเต็มที่

           2.4 ภูมิปัญญาของชาวอียิปต์

        ชาวอียิปต์สามารถคิดค้นเทคโนโลยีและวิทยาการความเจริญด้านต่างๆเพื่อตอบสนองการดำเนินชีวิต ความเชื่อทางศาสนาและการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่อียิปต์ เช่น ความรู้ทางคณิตศาสตร์ เรขาคณิต และฟิสิกส์ ได้ส่งเสริมความเจริญในด้านการก่อสร้างและสถาปัตยกรรม เป็นต้น

3. สมัยอาณาจักรอียิปต์

        3.1 สมัยอาณาจักรเก่า มีความเจริญในช่วงประมาณปี 2,700 – 2,200 ก่อนคริสต์ศักราช เป็นสมัยที่อียิปต์มีความเจริญก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์และศิลปกรรม มีการก่อสร้างพีระมิดซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของอารยธรรมอียิปต์

            3.2 สมัยอาณาจักรกลาง ฟาโรห์มีอำนาจปกครองอยู่ในช่วงราวปี 2050 – 1652 ก่อนคริสต์ศักราช ในสมัยนี้อียิปต์มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านทางวิทยาการและภูมิปัญญามากโดยเฉพาะด้านการชลประทาน จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทองของอียิปต์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายสมัยเกิดความวุ่นวายภายในประเทศ จนต่างชาติเข้ามารุกรานและปกครองอียิปต์

         3.3 สมัยอาณาจักรใหม่ ชาวอียิปต์สามารถขับไล่ชาวต่างชาติ และกลับมาปกครองดินแดนของตนอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงประมาณปี 1567 – 1085 ก่อนคริสต์ศักราช สมัยนี้ฟาโรห์มีอำนาจเด็ดขาดในการปกครองและขยายอาณาเขตเหนือดินแดนใกล้เคียงจนเป็นจักรวรรดิ

         3.4 สมัยเสื่อมอำนาจ จักรวรรดิอียิปต์เริ่มเสื่อมอำนาจตั้งแต่ประมาณปี 1,100 ก่อนคริสต์ศักราช ในสมัยนี้ชาวต่างชาติ เช่น พวกอัสซีเรียนและพวกเปอร์เซียจากเอเชีย รวมทั้งชนชาติในแอฟริกาได้เข้ามายึดครอง จนกระทั่งเสื่อมสลายในที่สุด

4. ด้านการเมืองการปกครอง

          4.1 สมัยอาณาจักรเก่า กษัตริย์หรือฟาโรห์ (Pharaoh) มีอำนาจสูงสุด โดยมีผู้ช่วยในการปกครองคือ ขุนนาง หัวหน้าขุนนางเรียกว่า “วิเซียร์” และมีหน่วยงานย่อย ๆ ในการบริหารประเทศ แต่ละเมืองแต่ละหมู่บ้านมีผู้ปกครองระดับต่าง ๆ ดูแลเป็นลำดับขั้น แต่ละชุมชนถูกเกณฑ์แรงงานมาทำงานให้แก่ทางการซึ่งส่วนใหญ่คือ การสร้างพีระมิดแต่ละอาณาจักรมีอำนาจปกครองเหนือมณฑลต่าง ๆหรือเรียกว่าโนเมส ซึ่งแต่ละโนเมสมีสัญลักษณ์แตกต่างกัน ต่อมามีการรวมกันเป็นอาณาจักรใหญ่ 2 แห่ง คืออียิปต์บนและอียิปต์ล่าง ต่อมาทั้ง 2 อาณาจักรได้ถูกรวมเข้าด้วยกันเกิดราชวงศ์อียิปต์โดยประมุขแห่งอียิปต์ (เมเนสหรือนาร์เมอร์) ความเสื่อมของอารยธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ การสร้างพีระมิดขนาดใหญ่ เป็นการบั่นทอนเศรษฐกิจและแรงงานของอียิปต์ ซึ่งนำความเสื่อมมาสู่ราชวงศ์อียิปต์

         4.2 สมัยอาณาจักรกลาง ฟาโรห์เปลี่ยนภาพลักษณ์จากผู้ปกครองที่อยู่ห่างไกลประชาชนมาเป็นผู้ปกป้องประชาชน ลดการสร้างพีระมิด แต่ประชาชนต้องตอบแทนด้วยการทำงานสาธารณะต่าง ๆ เช่น การระบายน้ำในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพื่อช่วยการเกษตร การขุดคลองเชื่อมแม่น้ำไนล์กับทะเลแดงเพื่อการสะดวกในการค้าและขนส่ง

    4.3 สมัยอาณาจักรใหม่ฟาโรห์อเมนโฮเตปที่ 4 ทรงเปลี่ยนแปลงความเชื่อในเรื่องการนับถือเทพเจ้าหลายองค์มาเป็นการนับถือเทพเจ้าองค์เดียว คือ เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ขุนนางและประชาชน รัชกาลนี้จึงตกต่ำ แต่เมื่อฟาโรห์ตุตันคาเมนขึ้นครองราชย์จึงเปลี่ยนกลับไปนับถือเทพเจ้าหลายองค์เช่นเดิม ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ก่อนคริสต์ศักราช อียิปต์สูญเสียความเข้มแข็ง ชนเผ่าต่าง ๆ สลับกันมีอำนาจปกครองอียิปต์ เช่น อัสซีเรีย ลิเบีย เปอร์เซีย สุดท้ายอียิปต์กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน 

5. ด้านเศรษฐกิจ

          อาชีพหลักของชาวอียิปต์ คือ เกษตรกรรม เพราะว่าดินอุดมสมบูรณ์ ทำให้ผลิตอาหารเกินความต้องการ การผลิตทางการเกษตรที่เป็นหลักของอียิปต์ คือ ข้าวสาลี บาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ถั่วฝักยาว ถั่ว ผักและผลไม้ และต่อมาชีวิตที่มั่งคั่งและฟุ่มเฟือยของบางคนนำไปสู่การพัฒนางานหัตถกรรมและอุตสาหกรรม บางส่วนทอผ้า บางส่วนผลิตเครื่องตกแต่ง หม้อ ลินิน และอัญมณี เหล็กและทองแดงมีการถลุง นำมาใช้ในการทำเครื่องมือ แก้ว และเครื่องปั้นดินเผา มีการผลิตทั้งแบบเรียบ ๆ และวาด ทั้งยังมีวิศวกร จิตรกร ประติมากร และสถาปนิกอีกด้วย

6. ด้านสังคม

         เป็นสังคมแบบลำดับชั้น ผู้ปกครองสูงสุด คือ ฟาโรห์ และชนชั้นปกครองอื่น ๆ คือ ขุนนางและนักบวช ชนชั้นรองลงมาคือ พ่อค้าและช่างฝีมือ ชนชั้นล่าง คือ ชาวนา และทาส ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ ที่ดินทั้งหมดเป็นของฟาโรห์ สำหรับขุนนางและนักบวชก็ได้ครอบครองที่ดินจำนวนมาก ชาวนาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ และเสียภาษีเป็นผลผลิตให้ฟาโรห์ ขุนนาง และพระ รวมทั้งต้องถูกเกณฑ์แรงงานไปทำงานให้รัฐ และเป็นทหารสตรีมีบทบาทสูงไม่น้อยกว่าผู้ชาย คือ ให้สถานภาพแก่สตรีสูง ยอมให้สตรีขึ้นครองราชบัลลังก์ได้ มีสิทธิในการมีทรัพย์สินและมรดก ราชินีที่มีชื่อเสียงของอียิปต์ คือ แฮตเชพซุต (Hatchepsut) ซึ่งปกครองในศตวรรษที่ 15 ก่อนคริสต์ศักราช และทำความงดงามให้กับเมืองคาร์นัก

        ชาวอียิปต์ไม่ยอมให้ชายแต่งงานกับสตรีเป็นภรรยามากกว่า 1 คน แม้ว่าการมีเมียน้อยเป็นเรื่อง ปกติและยอมรับทั่วไป ลักษณะที่แปลกของระเบียบสังคมนี้ คือ ชอบให้พี่ชาย-น้องสาวแต่งงานกัน หรือแต่งงานภายในตระกูล ฟาโรห์แต่งงานกับตระกูลของตน เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของสายเลือด ประเพณีนี้ได้มีผู้อื่นนำไปใช้ต่อมา

7. ด้านศาสนา

        ชาวอียิปต์นับถือเทพเจ้าหลายองค์ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจธรรมชาติโดยเทพเจ้าที่ได้รับการเคารพสูงสุด คือ เร หรือ รา (Re or Ra) เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ และเป็นหัวหน้าแห่งเทพเจ้าทั้งปวง ซึ่งปรากฏในหลายชื่อและหลายรูปลักษณ์ เช่น ผู้มีร่างกายเป็นมนุษย์ มีหัวเป็นเหยี่ยว และในรูปของมนุษย์คือ ฟาโรห์ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบุตรของเร และมีเทพเจ้าสำคัญองค์อื่น ๆ อีก เช่น เทพเจ้าแห่งแม่น้ำไนล์หรือโอซิริส และยังเป็นผู้พิทักษ์ดวงวิญญาณหลังความตาย เทพเจ้าแห่งพื้นดินหรือไอซิส เป็นผู้สร้างและชุบชีวิตคนตาย เป็นต้น การยกย่องกษัตริย์ให้เทียบเท่าเทพเจ้า ทำให้สถาบันกษัตริย์มีความศักดิ์สิทธิ์ประดุจเป็นเทพเจ้า ความเชื่อนี้มีผลต่อการสร้างอารยธรรมดังเช่น การสร้างพีระมิด

8. ด้านภาษาและวรรณกรรม

         ชาวอียิปต์ได้พัฒนาระบบการเขียนที่เรียกว่า เฮียโรกริฟิค (Hieroglyphic) เป็นคำภาษากรีก มี ความหมายว่า การจารึกอันศักดิ์สิทธิ์ เริ่มต้นด้วยการเขียนอักษรภาพแสดงสัญลักษณ์ต่างๆ แล้วค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาเป็นรูปแบบพยัญชนะ ในระยะแรก ชาวอียิปต์จารึกเรื่องราวด้วยการแกะสลักอักษรไว้ตามกำแพงและผนังของสิ่งก่อสร้าง เช่น วิหารและพีระมิด ต่อมาจึงค้นพบวิธีการทำกระดาษจากต้นปาปิรุส ทำให้มีการบันทึกแพร่หลายมากขึ้น

9. ด้านศิลปวิทยาการ

     9.1 ด้านดาราศาสตร์

         ความรู้ทางด้านดาราศาสตร์เกิดจากการสังเกตปรากฏการณ์จากการเกิดน้ำท่วมของแม่น้ำไนล์ ซึ่งได้นำความรู้นี้มาคำนวณเป็นปฏิทินแบบสุริยคติที่แบ่งวันออกเป็น 365 วันใน 1 ปี ซึ่งมี 12 เดือน และในรอบ 1 ปี ยังแบ่งออกเป็น 3 ฤดูกาล ที่กำหนดตามวิถีการประกอบอาชีพ คือ ฤดูน้ำท่วม ฤดูไถหว่าน และฤดูเก็บเกี่ยว

   

ภาพแสดงลักษณะการปกครองและสภาพชนชั้นของอียิปต์

ภาพการประกอบอาชีพของชาวอียิปต์

ตัวอย่างอักษรภาพเฮียโรกริฟิค (Hieroglyphic)

ภาพสุสานกษัตริย์ของอียิปต์

9.2 ด้านคณิตศาสตร์

         ความรู้ทางคณิตศาสตร์และเรขาคณิตที่อียิปต์ให้แก่ชาวโลก เช่น การบวก ลบ และหาร และการคำนวณพื้นที่วงกลม สี่เหลี่ยม และสามเหลี่ยม ความรู้ดังกล่าวเป็นฐานของวิชาฟิสิกส์ที่ใช้คำนวณในการก่อสร้างพีระมิด วิหาร และเสาหินขนาดใหญ่

    9.3 ด้านการแพทย์

         ชาวอียิปต์โบราณมีความรู้ทางการแพทย์สาขาทันตกรรม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา เช่น กระเพาะอาหาร และศัลยกรรม ซึ่งมีหลักฐานการบันทึก และต่อมาถูกนำไปใช้แพร่หลายในทวีปยุโรป ตลอดจนวิธีเสริมความงามต่าง ๆ เช่น การรักษาริ้วรอยเหี่ยวย่น การใช้ผมมนุษย์ทำวิกผม เป็นต้น

     9.4 ด้านสถาปัตยกรรม

         เอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมอียิปต์ คือ พีระมิดที่บรรจุศพของฟาโรห์ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์ทางศาสนาและอำนาจทางการปกครอง นอกจากพีระมิดแล้ว ยังมีการสร้างวิหารจำนวนมาก เพื่อบูชาเทพเจ้าในแต่ละองค์ และเป็นสุสานของกษัตริย์ เช่น วิหารแห่งเมืองคาร์นัก เป็นต้น

9.5 ด้านประติมากรรม

         ชาวอียิปต์สร้างประติมากรรมไว้จำนวนมากทั้งที่เป็นรูปปั้นและภาพสลักที่ปรากฏในพีระมิดและวิหาร ภาพสลักส่วนใหญ่จะประดับอยู่ในพีระมิดและวิหาร ในพีระมิดมักพบรูปปั้นของฟาโรห์และพระมเหสี รวมทั้งเรื่องราววิถีชีวิตของอียิปต์ ส่วนภายในวิหารมักจะเป็นรูปปั้นสัญลักษณ์ของเทพและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เช่น สุนัข แมว เหยี่ยว เป็นต้น และภาพสลักที่แสดงเรื่องราวและเหตุการณ์

     9.6 ด้านจิตรกรรม

         ผลงานด้านจิตรกรรมมีเป็นจำนวนมาก มักพบในพีระมิดและสุสานต่างๆ ภาพวาดของชาวอียิปต์ส่วนใหญ่มีสีสันสดใส มีทั้งภาพสัญลักษณ์ของเทพเจ้าที่ชาวอียิปต์นับถือ พระราชกรณียกิจของฟาโรห์และสมาชิกในราชวงศ์ ภาพบุคคลทั่วไปและภาพที่สะท้อนวิถีชีวิตของชาวอียิปต์ เช่น ภาพการประกอบอาชีพ เป็นต้น

bottom of page